การเมือง
เปิดบันทึก! พระภิกษุ 2 ร่วมม็อบถูกบังคับทำพิธีสึก
วันจันทร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564, 10.04 น.
คลิกที่นี่
วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564 จากกรณีที่มีพระภิกษุ 4 รูป เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 โดยเข้าร่วมกิจกรรมแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ ติดตามพฤติกรรมของพระภิกษุดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม 2564) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยกลุ่มคุ้มครองฯ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าคณะแขวงดุสิต กรณีนำตัวพระภิกษุ 2 รูป ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายข้างต้นมาดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ประกอบด้วย พระประนมกร ปราณีต สังกัดวัดเลียบ จ.สุรินทร์ และ พระวิรัช แซ่คู สังกัดวัดราษฎร์รังสรรค์ จ.กระบี่ ซึ่งทั้งสองได้ยอมรับในความผิดที่ได้กระทำ จึงสมัครใจลาสิกขาแล้ว โดยภายหลังจากลาสิกขา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ส่วนอีก 2 รูปยังไม่พบตัวและกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
ในส่วนของการปฏิบัติตนของสงฆ์กับกรณีทางการเมืองนั้น ได้เคยมีคำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุ สามเณร ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พ.ศ.2538 และยังคงยึดถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้มาจนปัจจุบัน ดังนั้น ในส่วนของอำนาจหน้าที่การดำเนินการตามความผิด เป็นไปตามที่พระสังฆาธิการผู้มีอำนาจดำเนินการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทางคณะสงฆ์เห็นสมควรนั้น
ขณะที่ทนายความของพระภิกษุทั้ง 2 รูป ได้เปิดเผยจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของพระภิกษุผู้ถูกดำเนินคดี อ้างว่า พระภิกษุทั้ง 2 รูป ถูกบังคับให้ถอดจีวร บังคับให้สึกท่าน โดยมีข้อความเขียนบันทึกไว้เป็นหลักฐานตามนี้
ทางด้านพระเอิร์ธ แกนนำของคณะยุวสงฆ์ปลดแอก หรือ คณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาใหม่ ได้ส่งสารถึง มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และตำรวจควบคุมฝูงชน ผ่านเว็บไซต์ประชาไท ว่า
เขามาร่วมชุมนุมเพราะอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แยกศาสนาออกจากรัฐ ไม่ผูกขาดการตีความทางศาสนาและเน้นย้ำเสรีภาพของศาสนา ไม่ใช่เอาไว้เพื่อสนับสนุนรัฐเท่านั้น
การจับกุมพระภิกษุในหมู่บ้านทะลุฟ้าเมื่อช่วงเช้า พระทั้งสองรูปไม่ได้กล่าวคำสึก แต่โดนกระชากผ้าเหลืองออก.. กฎต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากเถรสมาคมหรือสำนักพุทธฯ หรือการใช้อำนาจของรัฐผ่านสองหน่วยงานข้างต้นคือการใช้อำนาจรัฐในการควบคุมศาสนา ทำให้ศาสนาขึ้นตรงต่อรัฐ เป็นศาสนจักรของรัฐ อำนาจการตีความก็เป็นของรัฐ คนอื่นตีความต่างไปจากรัฐไม่ได้ รัฐก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม เช่น มีการสวดมนต์เฉลิมพระเกียรติ หรือการเทศน์ที่ส่งเสริมให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น แต่ถ้ามีพระที่ออกมาเรียกร้องสิทธิหรือปลดแอกเสรีภาพให้ศาสนา พระเหล่านั้นโดนกำจัดทั้งสิ้น เช่น สามเณรโฟล์คที่ตอนนี้ไม่รู้จำวัดที่ไหน หรือพระสองรูปข้างต้น
พระเอิร์ธมีความเห็นฝากไปยังตำรวจที่กำลังจะเข้าสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าดังนี้
“ช่วยมองพวกเราว่าคือคนเช่นกัน พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่พวกเขาต้องการจำนวนพื้นที่ที่มากกว่านี้ จำนวนพื้นที่ของคนมากมาย รัฐให้พื้นที่เสมือนแค่เท่าห้องน้ำ แน่นอนว่ามันอยู่ไม่ได้ถ้าคนจำนวนมากจะอยู่ในห้องน้ำ เปรียบเทียบกับบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาต้องการพื้นที่มากกว่านี้ พวกเขาต้องการเสรีภาพในการแสดงออก พวกเขาต้องการเสรีภาพในการพูด พวกเขาต้องการปฏิรูปสถาบันที่ทำให้ไม่เบียดกันไปมากกว่านี้ พวกเขาไมไ่ดต้องการที่จะล้มล้าง พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้เราไม่ได้รักกัน ถึงแม้เราจะเกลียดกัน แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยบทบาทที่มีความเท่าเทียมกัน” พระเอิร์ธกล่าว
คลิกที่นี่