วันนี้(26 เม.ย.2564)ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 230 ม.15 ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ลูกสาว ของนางแหลม ประทุมแก้ว อายุ 49 ปี ได้เดินทางเข้าพบ นายนคพล บุญโสดากร นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ สอบถามเรื่องที่นางแหลม ประทุมแก้ว ถูกลักลอบสวมบัตรประจำตัวประชาชน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน จะใช้สิทธิ์บัตรทองไม่ได้ ขาดโอกาสรับเงินเยียวยาจากรัฐ ทุกโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐตนก็ไม่ได้ น้ำตาตกถูกล้อเลียนเป็นคนเถื่อน ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน รวมถึงเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระบาด ทั้งยังถูกสมประมาทล้อเลียนหาว่าเป็นคนเถื่อน คนต่างด้าว ทั้งที่ตนเองเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์และปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำของตนเอง กลับต้องมาเดือดร้อน
ทางนายนคพล บุญโสดากร นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ ได้แนะนำเรื่องดังกล่าว พร้อมกับได้นำสองแม่ลูกเดินทางไปยังศาลยุติธรรม เพื่อสอบถามหาทางแก้ไขและปรึกษาเรื่องดังกล่าว ซึ่งทางน.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ และนางแหลม ประทุมแก้ว ได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา
นางแหลม ประทุมแก้ว แม่ของ น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ กล่าวว่า ตนนั้นเป็นคน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ และได้แต่งงานกับสามีที่อยู่ จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นได้เกิดป่วยพร้อมทั้งเป็นเบาหวาน จึงได้มาโรงพยาบาล จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งทางพยาบาลได้บอกว่าทำไมไม่ทำบัตรสวัสดิการของรัฐ ตนจึงติดต่อไปยังที่ว่าการอำเภอกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ แต่เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าไม่สามารถย้ายได้ เพราะในระบบพบว่ามีชื่อ นามสกุล และเลข 13 หลักตรงกัน 1 คน น่าจะมีการสวมสิทธิบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ตนไปติดต่อที่ที่ว่าการอำเภอสังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นที่ที่ตนเองทำบัตรประชาชนตอนแรก ตนจึงนึกขึ้นได้จึงได้เดินทางมาที่ ที่ว่าการ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้รู้ว่าถูกสวมสิทธิบัตรประชาชน ซึ่งตนได้บอกกับลูกสาว ๆ ตนจึงได้มาแจ้งความบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งได้นำเอกสารต่าง ๆ เพื่อมายืนยันกับเจ้าหน้าที่อำเภอสังขะ แต่ได้รับคำตอบว่าจะติดต่อกลับ เรื่องก็เงียบหายไป ตนและลูกสาวจึงได้มาที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุรินทร์ และได้รับคำปรึษากับทางนายนคพล บุญโสดากร นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ ตนและลูกสาวจึงทำตามที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ ทุกอย่าง และในวันนี้ได้มาติดตามเรื่องเพื่ออยากทราบว่าเรื่องไปถึงไหนแล้ว ซึ่งทางศูนย์ดำรงธรรม จ.สุรินทร์ จะพาที่ศาลยุติธรรมเพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวให้อีกทาง
น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ ลูกสาว นางแหลม ประทุมแก้ว กล่าวว่า ทุกวันนี้แม่ลำบากมาก ไปหาหมอก็ใช้สิทธิ์บัตรทองไม่ได้ ขาดโอกาสรับเงินเยียวยาจากรัฐทุกโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐตนก็ไม่ได้ น้ำตาตกถูกล้อเลียนเป็นคนเถื่อน เพ้อน้อยใจคนต่างด้าวยังมีบัตรเป็นคนไทยแท้ๆ แต่ทำไมช่วยไม่ได้ วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลด้วย ตนจึงได้พาแม่ไปแจ้งวามไว้ที่ สภ.สังขะ จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 17.17 น. น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ อายุ 24 ปี บ้านเลขที่ 230 ม.15 ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ มาพบ ร.ต.ท.ฐากูร กะการดี พนักงานสอบสวน แจ้งว่า เมื่อปี พ.ศ.2543 เจ้าหน้าที่นายทะเบียนของอำเภอกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ได้บอกให้ น.ส.แหลม ประทุมแก้ว อายุ 49 ปี มารดาของตน ไปทำการย้ายทะเบียนบ้านที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพราะเลขบัตรประชาชน ขึ้นเป็นสองชื่อ ต่อมาประมาณระหว่างช่วงปี 2544-2545 น.ส.แหลม ประทุมแก้ว ได้เดินทางมาติดต่อทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ โดยทางเจ้าหน้าที่ อ.สังขะ ก็ได้สอบถามข้อมูล น.ส.แหลม ประทุมแก้ว แล้วบอกว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอต่อการทำเรื่องย้าย
ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2561-2562 น.ส.แหลม ประทุมแก้ว ได้เดินทางไปติดต่อทำเรื่องย้ายอีกครั้งที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พร้อมด้วยญาติพี่น้องอีกประมาณ 3 คน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้สอบถามข้อมูลทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำการย้ายได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 ผู้แจ้งพร้อมด้วย น.ส.แหลม ประทุมแก้ว ได้เดินทางไปที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ อ.สังขะ ก็ได้สอบถามข้อมูลในลักษณะเดิม และผู้แจ้งบอกว่าบุคคลที่ใช้ข้อมูลส่วนตัวของ น.ส.แหลม ประทุมแก้ว ในการใช้สิทธิ์ต่าง ๆ มีชื่อว่านางเดือน มีแก้ว (ทำการเปลี่ยนชื่อใหม่ ) ซึ่งทำให้ น.ส.แหลม ประทุมแก้ว เสียสิทธิ์ต่างของตนไป
ผู้แจ้งประสงค์ต้องการดำเนินคดีตามกฎหมายกับนางเดือน มีแก้ว ให้ถึงที่สุด ซึ่งผู้รับเรื่องคดี ร.ต.ท.ฐากูร กะการดี พนักงานสอบสวน สภ.สังขะ รับทราบและรับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว จึงลงบันทึกไว้เพื่อดำเนินการสืบสวนต่อไป
น.ส.วรวลัญช์ สท้านอาจ ลูกสาว นางแหลม ประทุมแก้ว กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขอวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น และเร่งทำบัตรประชาชนให้แม่ตนคืนด้วย เพราะตอนนี้เดือดร้อนมากจะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เขาหาว่าเป็นคนเถื่อน คนต่างด้าว ทั้งไม่สามารถใช้สิทธิ์รักษาฟรีได้ ที่สำคัญต้องขาดโอกาสรับการช่วยเหลือเยียวยาจากโครงการต่างๆ ของรัฐ ทั้งที่ความผิดไม่ได้เกิดจากตนเอง พร้อมกับพูดตัดพ้อด้วยว่ารู้สึกน้อยใจว่าแม่ตนเองเป็นคนไทยแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ถูกลักลอบสวมบัตรประชาชน ทำไมถึงไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ภาพ/ข่าว: รมิตา สิงหเสรี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จังหวัดสุรินทร์