“นิติ โอสถานุเคราะห์” ผู้ไล่เก็บ “โอสถสภา” เข้าพอร์ตต่อเนื่องจนขี้นแท่นถือหุ้นใหญ่ 23.80% ในวันนี้ จากก่อนหน้า “นิติ” ควักเงินลงทุนเก็บหุ้นไว้ในมือหลายบริษัทที่จดทะเบียนทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ มูลค่ารวม 48,181.64 ล้านบาท ทำให้ติดอันดับท็อปไฟว์เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ของไทยปีนี้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีอยู่ตลอด แต่การซื้อการซื้อขายแบบรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIGLOT) บ่อยๆ ไม่มีให้เห็นมากนัก และเมื่อปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัท บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP มีการซื้อขายแบบรายการดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นั่นแสดงให้เห็นถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท
โดยจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า การซื้อขายลักษณะบิ๊กล็อตของ OSP มีการผ่องถ่ายขายหุ้นออกมาตั้งแต่กลางปี 63 เพราะเมื่อมิถุนายน 2563 นายเพชร และครอบครอบครัวโอสถานุเคราะห์ ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง 3% ให้แก่นักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง จีงทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงจาก 30.69% เหลือประมาณ 27.69% ซึ่งนายเพชร โอสถานุเคราะห์ ขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร OSP และจุดประสงค์การขายหุ้นดังกล่าวเพื่อนำเงินไปใช้ด้านโครงการด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาเพื่อสร้างรากฐานของประเทศ อีกทั้งการลดสัดส่วนการถือหุ้นพร้อมกับหนังสือลาออกของนายเพชร ที่แจ้งว่าเพราะปัญหาด้านสุขภาพ
ส่งผลให้ในเดือนกรกฎาคมมีการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการครั้งใหญ่ของ OSP ขณะนั้น ทำให้ นายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ นั่งเป็นประธานกรรมการ นายเพชร โอสถานุเคราะห์ เป็นรองประธานกรรมการ นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร นายธนา ไชยประสิทธิ์ เป็นรักษาการ CEO และนายชัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ เป็นรองประธานคณะกรรมการบริหาร อีกทั้งได้นางวรรณิภา ภักดีบุตร เป็นกรรมการผู้จัดการ OSP
“นิติ” ไล่เก็บบิ๊กล็อต OSP ต่อเนื่อง
สำหรับการการซื้อขายแบบรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIGLOT) ของหุ้น OSP ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 63 ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นกลุ่ม Orizon เมื่อนับรวมกันแล้วลดลงจากประมาณ 30.69% มาอยู่ที่ประมาณ 27.69% ซึ่งทำให้ กลุ่ม Orizon ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท และธุรกรรมดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับการซื้อขายหุ้น OSP เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 พบว่าราคาปิดที่ 38.00 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 3.18% มูลค่าซื้อขาย 4,490.62 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการซื้อขายบนกระดานซื้อขายรายใหญ่ (Big Lot) สูงสุดอันดับ 1 จำนวน 90,212,500 หุ้น มูลค่า 3,337.86 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 37.00 บาท
ทั้งนี้ จากข้อมูลการซื้อขายหุ้นหลังจากเดือนมิถุนายน 63 เป็นต้นมาจะพบว่าหุ้น OSP มีการซื้อขายแบบบิ๊กล็อตหุ้นตัวนี้ต่อเนื่องดังนี้
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 63 “นิติ โอสถานุเคราะห์’” เข้าซื้อหุ้น OSP เพิ่ม 2.9 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 39.87 บาท มูลค่ารวม 116 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 63 “นิติ โอสถานุเคราะห์” ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 39.67 บาท จ่ายเงิน 59.50 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 63 “นิติ โอสถานุเคราะห์” ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1 ล้านหุ้น ที่ราคา 39.78 บาท จ่ายเงิน 39.78 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1.3 ล้านหุ้น ที่ราคา 38.44 บาท ใช้เงิน 49.97 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 63 พรธิดา บุญสา และ สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ร่วมซื้อหุ้น OSP จำนวน 520,000 หุ้น บนราคา 39.71 บาท เป็นเงิน 20,647,400 บาท
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1.22 ล้านหุ้น ที่ราคา 39.75 บาท คิดเป็นเงิน 48.78 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1.8 ล้านหุ้น ที่ราคา 38.46 บาท คิดเป็นเงิน 69.22 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP จำนวน 1.3 ล้านหุ้น ที่ราคา 38.65 บาท คิดเป็นเงิน 50.24 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP ต่อ จำนวน 6.55 แสนหุ้น ที่ราคา 38.5 บาท คิดเป็นเงิน 25.22 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 63 สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ซื้อหุ้น OSP เข้าพอร์ตอีก 1.2 ล้านห้น ที่ราคา 38.38 บาท คิดเป็นเงิน 46.05 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 21 กันยายน 63 “นิติ โอสถานุเคราะห์” และสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ร่วมกันซื้อหุ้น OSP รวม 5,100,000 หุ้น เฉลี่ยราคา 37.17 บาท คิดเป็นเงิน 189,587,000 บาท
เมื่อวันที่ 25 กันยายน 63 “นิติ โอสถานุเคราะห์” ซื้อ OSP จำนวน 1.53 ล้านหุ้น ที่ราคา 37.5 บาท คิดเป็นเงิน 57.50 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 63 หุ้น OSP มีรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIG LOT) จำนวน 1.5 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 32.05 บาท รวมมูลค่า 48.08 ล้านบาท
จากข้อมูลการซื้อขายหุ้น OSP ที่ผ่านมาจะพบว่า “โอสถานุเคราะห์” มีทั้งขายออกและซื้อเก็บหุ้นในกลุ่ม ซึ่ง 2 พ่อลูก “สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ และนิติ โอสถานุเคราะห์” โดดเก็บหุ้นเข้าพอร์ตตัวเองต่อเนื่องมาตลอด
“นิติ” ซื้อบิ๊กล็อตวันดียว 7 พันล้าน
นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ OSP ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงกรณีที่มีการซื้อขายหุ้นแบบบิ๊กล็อต เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ว่าในวันดังกล่าวมีการซื้อขายหุ้น OSP แบบบิ๊กล็อตจำนวน 13 รายการ รวม 762,718,000 หุ้นคิดเป็น 25.39% ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 33.00 บาท มูลค่ารวม 25,169,694,010 บาท ราคาปิดอยู่ที่ 35.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.94% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 26,393.69 ล้านบาท ซึ่งพบว่า นิติ โอสถานุเคราะห์ ซื้อหุ้น OSP จำนวน 215,000,000 หุ้น ราคา 33 บาท มูลค่า 7,095,000,000 บาท วิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ขายหุ้น SSP วันที่ 29 มี.ค.2564 จำนวน 19,000,000 หุ้น ราคา 14 บาท มูลค่า 266,000,000 บาท และพอล ชาลีส์ เคนนี่ ขายหุ้น MINT วันที่ 26 มี.ค.2564 จำนวน 400,000 หุ้น ราคา 32.68 บาท มูลค่า 13,072,726 บาท
ทั้งนี้ บริษัทได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 คนในกลุ่ม Orizon คือ Orizon Limited และนายเพชร โอสถานุเคราะห์ ได้เข้าทำรายการจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทที่ถืออยู่โดยรวมจำนวน 381,359,000 หุ้น คิดเป็น 12.69% ให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) โดยได้ทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564
อย่างไรก็ตาม Orizon Limited จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 261,060,475 หุ้น คิดเป็น 8.69% และนายเพชร โอสถานุเคราะห์ จำหน่ายหุ้นสามัญ จำนวน 120,298,525 หุ้น คิดเป็น 4.00% นอกจากนี้ ได้รับแจ้งจาก นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ว่าได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ เพิ่มเติมเป็นจำนวน 215,000,000 หุ้น คิดเป็น 7.16% ขณะที่นักลงทุนรายอื่นๆ ได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทเป็นจำนวน 166,359,000 หุ้น คิดเป็น 5.53%
สำหรับกลุ่ม Orizon เป็นกลุ่มบุคคลที่กระทำการร่วมกัน หรือ Acting in Concert ประกอบด้วยผู้ถือหุ้น 7 คน คือ Orizon Limited รัตน์ โอสถานุเคราะห์ เพชร โอสถานุเคราะห์ ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ภูรี โอสถานุเคราะห์ คฑา โอสถานุเคราะห์ และนาฑี โอสถานุเคราะห์
ทั้งนี้ ภายหลังการทำรายการดังกล่าวทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่ม Orizon ถือหุ้นลดลงเหลือ 452,336,700 หุ้น หรือ 15.06% จากเดิมถือหุ้นจำนวน 833,695,700 หุ้น หรือ 27.75% ขณะที่ “นิติ โอสถานุเคราะห์” มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 715,030,000 หุ้น หรือ 23.80% จากเดิมถือหุ้น 500,030,000 หุ้น หรือ 16.65%
อย่างไรก็ดี จากการซื้อขายหุ้นดังกล่าว ทาง OSP ออกมาชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ เนื่องจากบริษัทมีความสนใจที่จะมุ่งหมายการลงทุนไปที่โครงการด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อจะได้ช่วยวางรากฐานของวงการศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาของประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า จึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างการจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด และยังคงดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งและมั่นคงในประเทศไทยและในภูมิภาค สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“นิติ โอสถานุเคราะห์” ท็อปไฟว์เศรษฐีหุ้น
จากฐานข้อมูลที่มีในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพบว่า “นิติ โอสถานุเคราะห์” เป็นบุคคลที่เก็บหุ้นเข้าพอร์ตต่อเนื่อง กระทั่งทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน OSP นอกจากนี้ ยังพบอีกว่ามีหลายบริษัทที่ “นิติ” ถือหุ้นและนั่งในตำแหน่งกรรมการด้วยจำนวนไม่น้อยแห่ง
นายนิติ โอสถานุเคราะห์ เป็นบุตรของนายสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ สองพ่อลูกและเป็นหนึ่งในตระกูล ซึ่งนายนิติ ดำรงตำแหน่งกรรมการ/ผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง นั่นจึงทำให้ “นิติ” ขึ้นแท่นเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ในปีนี้ โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 48,181.64 ล้านบาท ลดลง 431.68 ล้านบาท หรือ 0.89% โดยหมวกหลายใบที่ “นิติ” นั่งคุมบริหารและเป็นกรรมการในบริษัทจดทะเบียนและหน่วยงานต่างๆ อีกหลายแห่งดังนี้
กรรมการบริหารและกำกับความเสี่ยง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ MINT ปี 2562-ปัจจุบัน
กรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ MINT ปี 2561-ปัจจุบัน
กรรมการ บริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด (มหาชน) ปี 2547-ปัจจุบัน
กรรมการ กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการสรรหาและพิจารณา บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ปี2547-2561
ตำแหน่งในบริษัท-กิจการอื่น
กรรมการบริหารหอการค้าไทย ปี 2562-ปัจจุบัน
กรรมการ กรรมการกลุ่มบริหารความเสี่ยง กรรมการกลุ่มการค้าภายใน กรรมการกลุ่มภาษี กฎหมายและกฎระเบียบหอการค้าไทย ปี 2560-ปัจจุบัน
กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิชัยสวัสดิ์ จำกัด ปี 2558-ปัจจุบัน
กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกรินเวสท์ จำกัด ปี 2558-ปัจจุบัน
กรรมการมูลนิธิโอสถานุเคราะห์ ปี 2555-ปัจจุบัน
กรรมการบริษัท โอสถานุเคราะห์ โฮลดิ้ง จำกัด ปี 2534-ปัจจุบัน
กรรมการบริษัท โอสถสภา เบฟเวอเรจ จำกัด ปี 2554-2559
กรรมการบริษัท สยามกลาสอยุธยา จำกัด ปี 2554-2559
อย่างไรก็ดี เมื่อสืบค้นให้ละเอียดจะพบว่า “นิติ โอสถานุเคราะห์” ผู้ซึ่งเป็นทายาท “โอสถสภา” มีพอร์ตลงทุนมูลค่าถึง 5.2 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ใน OSP แล้ว ยังพบว่ามีการกระจายถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถีง 12 แห่งประกอบด้วย
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ที่ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 16.46% มูลค่า 18,914.49 ล้านบาท จำนวน 494,496,600 หุ้น
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 สัดส่วน 9.51% มูลค่า 11,478.76 ล้านบาท จำนวน 492,650,851 หุ้น
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 สัดส่วน 3.06% มูลค่า 1,032.86 ล้านบาท หรือ 41,314,611 หุ้น
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 สัดส่วน 5.06% มูลค่า 9,720.16 ล้านบาท จำนวน 665,764,862 หุ้น
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 สัดส่วน 1.72% มูลค่า 3,351.68 ล้านบาทหรือ77,050,300 หุ้น
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9 สัดส่วน 2.51% มูลค่า 1,125.71 ล้านบาท หรือ 375,238,190 หุ้น
บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IRC ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9 สัดส่วน 1.92% มูลค่า 47.62 ล้านบาท หรือ 3,840,500 หุ้น
บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) หรือ OGC ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10 สัดส่วน 1.63% มูลค่า 7.28 ล้านบาทหรือ 346,800 หุ้น
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ถือหุ้นใหญ่อันดับ 11 สัดส่วน 2.09% มูลค่า 629.49 ล้านบาท หรือ 2,224,362 หุ้น
บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ถือหุ้นใหญ่อันดับ 13 สัดส่วน 1.01% มูลค่า 660.19 ล้านบาท หรือ 3,334,336 หุ้น
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ถือหุ้นใหญ่อันดับ 18 สัดส่วน 0.88% มูลค่า 4,964.38 ล้านบาทหรือ 79,430,100 หุ้น
บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SNP ถือหุ้นใหญ่อันดับ 20 สัดส่วน 0.98% มูลค่า 48.48 ล้านบาท หรือ 4,800,500 หุ้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเข้าถือหุ้นในบริษัทที่หลากหลายและแตกต่างในธุรกิจ ทำให้ “นิติ” เสมือนเป็นนักลงทุนที่กระจายความเสี่ยงการลงทุน ขณะที่ OSP ยังคงเป็นแกนหลักของการเก็บหุ้นของตระกูลเอาไว้เมื่อมีใครขายออกมาอย่างไม่ลังเล และคงต้องจับตากันต่อไปว่า “นิติ” จะเข้าไปไล่เก็บหุ้นบริษัทใดบ้าง ในฐานะคนที่ร่ำรวยหุ้นในมือ ในฐานะเศรษฐีหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งของเมืองไทย